...และอื่นใด ต้องการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ให้ลูกหลานในตระกูล " อิ น ท ว ง ษ์ " และสาธุชนคนทั่วไป ได้อ่านได้ศึกษาไว้ประดับสติปัญญา พิจารณาดูว่า อะไรควร อะไรไม่ควร อะไรถูก อะไรผิด และความสำนึกรับผิดชอบชั่วดี ในบาปบุญคุณโทษของทุกๆคนทุกๆฝ่าย...


                          

เพลง สัปเหร่อ - คุณประจวบ จำปาทอง คำร้อง/ทำนอง: ไพบูลย์ บุตรขัน - ขอขอบคุณที่ติดตามรับชมและประชาสัมพันธ์ web ตระกูล"อินทวงษ์"


@ แจกปฏิทิน พ.ศ.2555 ครับ เชิญคลิกโหลดที่นี่...

วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

10 เพื่อนรัก




"หน้าด้าน"

"หน้าด้าน" เป็นคำผสม มาจากคำว่า "หน้า" ซึ่งหมายถึงอวัยวะส่วนบนหัว ในที่นี้ยกมาเฉพาะแต่หนังหน้า รวมกับคำว่า "ด้าน" ซึ่งหมายถึงทนทาน ทนต่อคำพูดด่าเสียดแทง เหยียดหยาม อย่างไม่อายใคร เมื่อผสมคำแล้วจะได้ความหมายว่า "หนังหน้าที่มีความทนทานต่อแรงกระทบภายนอก"

อนึ่ง หน้าด้านไม่ได้ใช้กับคนที่มีหนังหน้าแข็งแรงต่อการเอาอะไรไปกระทบแรงๆ เช่น teen หน้าด้านก็อาจแตกได้

"หน้าด้าน" คำนี้มักใช้กับผู้ที่มีต่อมยางอายน้อยเป็นพิเศษจนถึงไม่มีเลย ดังนั้น "หน้าด้าน" จึงเป็นเหมือนคำที่ใช้กล่าวชม(ด่า?)ว่าคนผู้นั้นมีหนังหน้าที่ทนทาน ต่อแรงกระแทก ทั้งทางคำพูุดและการกระทำ

ระดับ "หน้าด้าน"

"กระเบื้องอย่างหนา" นี่คือระดับความหน้าด้านที่สุดยอดมากๆ เพราะไม่ฟังคำด่าอะไรทั้งสิ้น และทำตามใจตัวเอง ลักษณะของคนที่หน้าด้านระดับนี้ก็คือ เขาจะไม่ฟังสิ่งที่ขัดใจตัวเองทั้งสิ้น และจะทำทุกๆอย่างตามใจตัวเอง ชนิดที่ว่าไปฆ่าคนตายมาแล้วก็ยังไม่ไปมอบตัว แถมยังเดินเชิดหน้าในที่สาธารณะอีก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด...เอ่อ..ใครๆก็รู้ว่ะ!

"ยางรถเกราะ" นอกจากจะหนาแล้ว ก็ยังเหนียวอีก คนพวกนี้นอกจากจะมีคุณสมบัติคล้ายๆกระเบื้องอย่างหนาแล้ว ก็ยังเก่งในด้านการหาคำโต้เถียงและกฎหมู่มาใช้ นอกจากนี้ยังสามารถแก้กฎได้อย่างรวดเร็ว หรือใช้ช่องว่างในกฎเดินลอดออกมาหน้าตาเช้ยเฉย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด...เอ่อ...ใครๆก็รู้ว่ะ!

"หนังแรด" คือพวกที่แทงไม่เข้า หรือแทงเข้าก็เอาไม่ออก พวกนี้ปกติจะไม่สะทกสะท้าน แต่ถ้าใครแถกมันเข้าจังๆ มันก็จะเล่นงานคนที่แถกชนิดเอาให้ตาย(ถึงได้เอาไม่ออกไง) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด...เอ่อ...ใครๆก็รู้ว่ะ!


ภาพหมู่ นร.ม.6ข. ปีการศึกษา2505 (รุ่น14) โรงเรียนเมธีวุฒิกร

   
หวัดดี อั้ยหนั่น ปั๋นญาอ่อน

ยังจำและคิดถึงเพื่อนที่รู้ใจเสมอว่ะ

จ๋ำดั้ยบ่...ตอนพักเที่ยงเหลือซาวห้าตังค์ซื้อไอติมผลัดกันดูดคนละที...

ตอนนี้คิดถึงตอนนั้น จะอวกว่ะ ไม่รู้กินเข้าไปได้อย่างไร คงหิวมั้ง เพราะอดข้าวกลางวัน

ไงเพื่อนซำบายดีเรอะ มีเมียมีลูกกี่คนแล้ว เมียสวยมั้ย อิอิ...

ก็ตั้งใจ แก่แล้วจะกลับบ้านเฮา แต่ไม่อยู่ที่ลำพูน จะไปอยู่เชียงใหม่

เคยเล่าให้ฟัง...ตอนเรียนจบรับปริญญาใหม่ๆ คุณพ่อให้ของขวัญที่ดินที่เชียงใหม่ 15 ไร่ติดถนนใหญ่ ตอนนั้นไม่เจริญเหมือนตอนนี้

คุณพ่อซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2513 หรือ 2514 ก็ไม่แน่ใจ ไร่ไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ ตอนนี้เห็นที่ข้างๆยกขายกันไร่ละ 3 ล้านกว่าๆ

มีคนเสนอแล้ว แต่ตั้งใจจะแบ่งขาย 10 ไร่ เหลือไว้ 5 ไร่

เอาเงินที่ได้ปลูกบ้านหลังเล็กๆตรงกลาง แล้วติดจานดาวเทียม เล่นคอมฯให้สบายอุราไปเลย...

อิจฉามั๊ย



คุณ อิอิ...

คุณนี่ร้ายกาจ กำลังวางแผนยุให้พี่น้องฆ่ากันนะครับ

นับประสาอะไรจะเอาทั้งแนว ก็ขนาดขอเพียงนิดหน่อยยังเป็นปัญหาคารา-คาซังกันอยู่เลย

ถ้าผมทำตามคุณ ก็ทำได้นะครับเพราะผมก็ถือกรรมสิทธิ์ร่วม

แต่มันเจาะจงเกินไป แล้วจะทำอะไรจะไปไหนมาไหนคงไม่สะดวก คิดว่าเขาคงไม่เอาผมไว้หรอก

อะไรไม่ว่า ผมจะต้องจ้างมือปืนให้มาคุ้มกันผมอีก

ไม่เอา...ไม่เอา...

เลอะเทอะ...เลอะเทอะ...


คุณ "เวร" ครับ

ผมยอมรับ ทำยังไงได้ หวังพึ่งกฎหมายก็ต้องเย็นใจ-ใจเย็นอย่างนี้แหละ

แต่ก็ไม่แน่...

คนเรามันมีขีดความทนได้ระดับหนึ่ง

ปล่อยไปตามเวรตามกรรมครับ

ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต

ซึ่งเราก็ไม่รู้ล่วงหน้าซะด้วย


สวัสดีครับ คุณ"ขอชม"

ขอบคุณครับ...แต่ผมชอบให้"ติ"มากกว่า

อะไรไม่ถูกไม่ควรก็ติได้เลย welcome…welcome…


คลิกที่นี่...เรื่องนี้ให้เก็บเอาไปคิดเป็นการบ้าน





ขอบคุณ...ยินดีจ้าดนักเน้อ คุณ อิอิ

ความคิดเห็นยังมีอีกครับ คลิกที่ลิ้งค์ด้านล่าง...ความคิดเห็น

วันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2554

09 คนที่อยู่ก็เอากันไป...เผาเสีย - เอากันไป...ฝังเสีย


คนที่อยู่ก็เอากันไป...เผาเสีย - เอากันไป...ฝังเสีย

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็จะย้อนกลับไปปี พ.ศ.2504หรือ2505 ท่านพระมหาอินทรวัดชัยมงคล ท่านพระอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษให้ "ดิไซ้"รณชัย...ตอนเป็นนักเรียน ก็คงจะเรียกมาอบรมสั่งสอนแล้วเทศนาให้ฟังกัน...

ญาติโยมทั้งรุ่นเดอะรุ่นใหญ่รุ่นเล็กทั้งหลายเอ๋ย... สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "ในบรรดาคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ต้องนับฉันเข้าไว้ด้วย 1 คน"

อะไร คือนิยามความสุขที่แท้จริงของมนุษย์?

ความสุขในนิยามอย่างพระพุทธองค์ หาได้เกี่ยวกับความมีหรือไม่มีสิ่งอันใดไม่?

และ ความไม่มีนั่นแหละ...กลับเป็นต้นทาง เป็นท่ามกลางและเป็นที่สุดของความสุขอันนิรันดร ที่ไม่มีสิ่งใดจะมาพรากจากเราไปได้เลย...

คำสอนโดยสรุปของพระพุทธองค์นั้นสรุปอยู่ในประโยคที่ว่า "สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวเรา-ของเรา"

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้หมายถึงอะไรบ้าง? ก็หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างไม่เว้นสิ่งใด โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นชีวิตจิตใจของเราเองก็ยึดถือไม่ได้ ยิ่งเป็นทรัพย์สมบัติ บุตร ภรรยา หรือสามีก็ยิ่งยึดถือไม่ได้

ทำไมจึงยึดถือไม่ได้ ก็ในเมื่อมันเป็นตัวเรา-ของเรา ไม่ได้เป็นของคนอื่นนี่นา?

ซึ่งเหตุที่ยึดถือไม่ได้ก็เพราะ แท้จริงสิ่งทั้งหลายนั้นมันเป็นเพียง "สิ่งที่ธรรมชาติปรุงแต่งสร้างสรรค์ขึ้นมาตามเหตุตามปัจจัยเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น" หาได้เป็นสิ่งที่เที่ยงแท้ถาวรหรือตั้งอยู่ตลอดไปตามที่เราต้องการไม่

เมื่อสิ่งที่เรารัก เราพอใจยังคงอยู่กับเรา เราก็ยังพอที่จะมีความสุขอยู่บ้าง แต่พอสิ่งที่เรารัก เราพอใจนั้นเปลี่ยนแปลงไป หรือพลัดพรากจากเราไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน ซึ่งเราก็ไม่สามารถห้ามมันได้ ก็จะทำให้ตัวเราที่ไปยึดถือนั้นเป็นทุกข์ตามไปด้วย ถ้ารักน้อยก็ทุกข์น้อย ถ้ารักมากก็ทุกข์มาก ถ้ารักหมดชีวิตก็เป็นทุกข์หมดชีวิตเหมือนกัน

อย่างเช่นถ้าสิ่งที่เรารักยิ่ง หรือคนที่เรารักมากได้จากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เราก็ย่อมที่จะมีความเศร้าโศกเสียใจอย่างใหญ่หลวง จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือแทบจะฆ่าตัวตายก็ได้ ถ้าสิ่งนั้นเรารักมากจนหมดชีวิต

หรือถ้าเราแก่เฒ่าลง ความแก่ชราของร่างกายย่อมเป็นที่น่ารังเกียจทั้งแก่ตัวเราเองและแก่ผู้อื่น คนที่แก่เฒ่าจึงมีแต่ความเศร้าซึม ที่เรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้า

หรือคนที่เจ็บป่วยหรือพิกลพิการตาบอด หูหนวก ที่นอนซมอยู่ มีทุกข์ทางกายอยู่ มีความยากลำบากทางกายอยู่ ก็ย่อมที่จะมีความทุกข์ตรม หรือเศร้าใจ หรือเบื่อหน่ายชีวิต

หรือแม้คนที่รู้ตัวว่าจะต้องตายในเร็ววัน ก็ย่อมที่จะเศร้าโศกเสียใจอย่างยิ่ง ที่ต้องพลัดพรากจากทุกสิ่งที่รักที่พอใจไปอย่างไม่มีวันได้กลับมาอีก เป็นต้น

หรืออย่างน้อย ถ้าสิ่งที่รักยังไม่จากเราไป มันก็ทำให้เราต้องเป็นห่วง กังวล เครียด หรือต้องลำบากคอยติดตามดูแลรักษาอยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็ทำให้เราต้องเกิดความทุกข์เล็กๆน้อยอยู่เสมอ

อีกทั้งถ้ายังต้องทำงานมากขึ้นเพื่อหาทรัพย์มาเลี้ยงดูสิ่งที่เรารัก ก็ทำให้เพิ่มความเหนื่อยยากให้มากขึ้นอีก ถ้าเพียงกินน้อยใช้น้อยก็ยังไม่ต้องเหนื่อยยากเท่าไร แต่ถ้าสิ่งที่เรารักกินมากใช้มากเกินความจำเป็น ก็ทำให้เราต้องเหนื่อยยากมากขึ้น

บางทีถ้าบำรุงบำเรอสิ่งที่เรารักไม่เป็นที่พอใจ สิ่งที่เรารักก็อาจจะจากเราไปได้ จึงทำให้เราต้องทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม อันเป็นเหตุให้ถูกโทษหรือสังคมประณาม ซึ่งก็ทำให้ต้องมีความทุกข์ใจมากขึ้นอีก

ความทุกข์นั้นก็มีทั้งอย่างรุนแรง คือทำให้เศร้าโศก เสียใจ ทุกข์ทรมานใจ ร้อนใจ และอย่างกลางๆคือเครียด กลุ้มใจ หนักใจ กระวนกระวายใจ เบื่อหน่ายไม่สบายใจ

รวมทั้งอย่างบางๆคือเป็นเพียงความหงุดหงิดรำคาญใจ หรือไม่สงบ ขุ่นมัว ไม่แจ่มใส ว้าวุ่นใจ ลังเลสงสัย และความฟุ้งซ่านจนน่ารำคาญ รวมทั้งความหดหู่เซื่องซึม

ซึ่งปรกติในวันหนึ่งๆนั้นเราจะถูกความทุกข์ชนิดบางๆนี้ครอบงำอยู่เกือบจะทั้งวัน และที่เหลือส่วนมากก็จะมีอย่างกลางๆเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเราก็คงพอทนกันได้

ส่วนความทุกข์ที่รุนแรงนั้นนานๆจึงจะเกิดขึ้น ถ้าความทุกข์ที่รุนแรงเกิดขึ้นบ่อยๆหรือนานๆ ตลอดทั้งวันเราก็คงเป็นบ้าตายกันไปหมดแล้ว

ซึ่งความทุกข์ทั้งหมดนี้ล้วนมีสาเหตุมาจากความยึดถือว่ามีตัวเรา-ของเราทั้งสิ้น คือเพราะมีความรัก และมีของรักจึงได้มีทุกข์ และในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่มีความรักใดๆและไม่มีของรัก ก็จะไม่มีทุกข์ ซึ่งจิตที่ไม่มีทุกข์นั้นเราก็รู้กันอยู่แล้วว่ามันรู้สึกอย่างไร ซึ่งมันก็ตรงข้ามกับความรู้สึกที่เป็นทุกข์ คือสงบ เย็น เบา ปลอดโปร่ง แจ่มใส ซึ่งในทางศาสนาจะเรียกว่า นิพพานนั่นเอง

บางคนอาจกล่าวว่า "จริงอยู่ที่ว่า สิ่งที่รักทำให้เกิดความทุกข์แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อสิ่งที่รักนั้นมันให้ความสุขแก่เรา และเราก็ติดใจหลงใหลในความสุขนั้นเสียแล้วจนห้ามใจไม่ได้ ถึงจะมีความทุกข์ตามมามากมายในภายหลังก็ยอมรับได้ ซึ่งก็คงจะดีกว่าถ้าไม่มีสิ่งที่รักหรือไม่มีความรัก ชีวิตก็คงจะแห้งเหี่ยวหรือเป็นทุกข์มากกว่าการที่เราต้องพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักนั้นไปเป็นแน่ ใช่หรือไม่? "

ถ้าใครคิดว่า "ยอมเป็นทุกข์เพื่อแลกกับความสุขจากการมีความรัก" ก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ถ้าใครคิดว่ามันไม่คุ้มกันกับการที่มีความสุขเพียงเล็กน้อย แต่ต้องมีความทุกข์อย่างมากมายเป็นผล ก็ลองมาศึกษาวิธีการเอาชนะความรักนี้ดู เผื่อบางทีเราอาจจะอยู่เหนืออำนาจของความรักได้ ไม่เป็นทาสของความรัก ให้ความรักมันกดขี่ ข่มเหง บีบคั้น หรือใช้ทำงานหนักเหมือนกับเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ที่น่าสงสารได้

มนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วก็เป็นธรรมดาที่ชีวิตต้องการความสุข ซึ่งความสุขก็เกิดขึ้นได้จากการเห็นรูป, ฟังเสียง, ดมกลิ่น, ลิ้มรส, สัมผัสทางผิวกาย, และคิดนึกทางจิตใจ

แต่ถ้าจะสรุปแล้วความสุขของโลกก็มีอยู่ ๓ ประเภท คือ (๑) เรื่องกาม คือสุขจากเรื่องของสวยของงาม น่ารักน่าใคร่ น่าพอใจทั้งหลาย โดยมีจากเพศตรงข้ามเป็นสิ่งสูงสุด (๒) เรื่องกิน ซึ่งหมายถึงเรื่องวัตถุที่ไม่ใช่กาม แต่เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น วัตถุเครื่องใช้ ทรัพย์สิน เงินทอง บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เป็นต้นและ (๓) เรื่องเกียรติ คือเรื่องเกียรติยศ ชื่อเสียง ความเด่นดัง ความมีอำนาจ

สิ่งทั้ง ๓ คือ กาม กิน เกียรติ นี้เรียกว่าเป็นวัตถุนิยม คือเป็นที่ตั้งของความนิยมชมชอบของคนทั้งหลายในสังคม ผู้คนทั้งหลายล้วนแสวงหาความสุขจากวัตถุนิยมเหล่านี้ คนที่เป็นคนดีก็แสวงหาในทางที่ดี ส่วนคนที่ชั่วก็แสวงหาในทางที่ชั่ว บางคนก็แสวงหาทั้งในทางทีดีและชั่วปะปนกัน การแสวงหาในทางทีดีก็คือไม่เอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเป็นสุข ส่วนในทางที่ชั่วก็คือเอาเปรียบเบียดเบียนผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์

วัตถุนิยมทั้งหลายนี่เองที่เป็นสิ่งที่ให้ความสุขและทำให้เราเกิดความรัก ความพอใจ และลุ่มหลงติดใจอย่างยิ่ง ซึ่งการที่จะเอาชนะความรักความพอใจในสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องใช้แรงดันกับแรงดึง ซึ่งแรงดันก็คืออำนาจที่จะผลักให้เราออกไปจากความติดใจหลงใหลในสิ่งที่รักที่เป็นวัตถุนิยม ส่วนแรงดึงก็คืออำนาจที่จะดึงเราให้ไปรักหรือพอใจในสิ่งอื่นที่ให้ความสุขเหมือนกันแต่ว่าไม่มีทุกข์ ไม่มีโทษเหมือนกับสิ่งที่รักหรือวัตถุนิยม

สิ่งที่จะเป็นแรงดันนั้นก็คือทุกข์และโทษจากที่ได้บรรยายไปแล้วตอนต้น ซึ่งเราจะต้องหมั่นพิจารณาให้มากอยู่เสมอ จนจิตเกิดความเบื่อหน่ายต่อความสุขจากวัตถุนิยม หรือกลัวต่อทุกข์และโทษของมันทั้งที่อาจจะกำลังเกิดอยู่จริง และหรือที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

ส่วนแรงดึงนั้นก็คือความสุขที่ดีกว่า หรือมีทุกข์ มีโทษน้อยกว่า โดยเริ่มจากการละเว้นเรื่องกามก่อน เพราะมีโทษมากกว่าเรื่องกิน คือให้พิจารณาเห็นโทษจากการมีคู่ หรือมีคนรัก หรือจากการมีเพศสัมพันธ์ให้มาก เช่น ถึงได้คู่ครองดีก็ต้องมีภาระมากขึ้น ทำงานหนักมากขึ้น ต้องทนอยู่ด้วยกันไปจนตลอดชีวิตเพราะความรักจางคลายลงไปแล้ว ต้องลำบากในการมีลูก ในการเลี้ยงดูลูก ต้องเอาใจคู่ครองหรือครอบครัวของคู่ครอง เป็นต้น แต่ถ้าได้คู่ครองไม่ดีก็ต้องเครียด ต้องปวดหัว ต้องเป็นทุกข์ ต้องทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งอาจจะทำร้าย หรือนำโรคร้ายแรงมาให้เราได้ เป็นต้น

เมื่อเห็นทุกข์และโทษจากเรื่องกามแล้วก็ไปแสวงหาความสุขจากเรื่องกิน หรือเรื่องวัตถุสิ่งของที่ไม่ใช่เรื่องกามแทน ที่มีโทษน้อยกว่า เช่น สะสมวัตถุสิ่งของที่ชื่นชอบ ปลูกต้นไม้ ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์เลี้ยง วาดรูป เขียนหนังสือ ฝึกซ่อมเครื่องใช้ต่างๆ หรือรับจ้างทำงานพิเศษที่ตนเองถนัด หรือคิดค้นประดิษฐ์สิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นต้น หรือใครที่ยังเป็นนักเรียนนักศึกษาหรือทำหน้าที่การงานอยู่ ก็มุ่งมั่นอยู่แต่ในเรื่องการเรียน หรือการทำงานโดยไม่สนใจเรื่องเพศตรงข้ามก็ยิ่งดี ก็จะทำให้หลุดพ้นจากเรื่องกามได้โดยง่าย

แต่เรื่องกินก็ยังมีโทษ เช่น ทำให้ห่วงกังวลกลัวจะสูญหาย หรืออาจจะไม่ได้ผลดังที่เราคาดหวังไว้ก็ได้ หรือถ้าเกิดความสูญเสียไปเราก็ยังเป็นทุกข์ หรืออาจเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาก็ได้ หรือเมื่อเราต้องจากมันไปเราก็ยังเป็นทุกข์อยู่ดี เป็นต้น

และเมื่อเห็นโทษของเรื่องกินแล้วก็ให้เปลี่ยนมาแสวงหาความสุขจากเรื่องเกียรติแทน คือ การสร้างคุณงามความดีให้สังคมยกย่อง เช่น ถ่ายทอดวิชาความรู้ที่ตนเองมีแก่คนด้อยโอกาส ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก อุทิศตนเพื่อสังคม ถนนรนแคมที่มันมีอยู่แล้วก็เปิดก็อนุญาตให้คนเดินผ่านเข้าออกได้สะดวกสบาย เป็นต้น ซึ่งก็จะทำให้จิตหลุดพ้นจากเรื่องกินได้

แต่เรื่องเกียรติก็ยังมีโทษ เช่น อาจไม่ได้มีคนยกย่องเสมอไป ถ้าเกิดถูกคนกลั่นแกล้งนินทาว่าร้ายก็อาจทำให้ถูกสังคมดูหมิ่นดูแคลนได้ และแม้ความมีเกียรติก็ต้องขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคม ดังนั้นแน่นอนว่าในอนาคตสังคมก็ย่อมที่จะลืมเลือน แล้วเราก็ต้องกลายเป็นคนต่ำต้อยด้อยเกียรติขึ้นมาทันที แล้วเราก็ต้องเป็นทุกข์อีกจนได้ และถ้าเราจะตายเราก็ยังเป็นทุกข์อยู่อีกนั่นเอง เป็นต้น

แล้วอะไรที่จะดึงเราให้หลุดพ้นจากอำนาจของเรื่องเกียรติได้?

คำตอบก็คือ "ปัญญา ศีล สมาธิ"

ซึ่งเมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ปัญญาก็คือ ความรอบรู้เรื่องการดับทุกข์ โดยมีหัวใจอยู่ที่ความเข้าใจว่า "แท้จริงมันไม่มีตัวเราอยู่จริง"

ส่วนศีลก็คือการรักษากายกับวาจาของเราไม่ให้ไปเบียดเบียนผู้อื่น

ส่วนสมาธิก็คืออาการที่จิต "ไม่มีความยึดถือว่ามีตัวเราอยู่อย่างมั่นคง"

ซึ่ง "ปัญญา ศีล สมาธิ" นี้สามารถทำให้จิตหลุดพ้นจากอำนาจของความสุขจากวัตถุนิยมทั้งหลายได้อย่างถาวรเลยทีเดียว

จุดสำคัญอันดับแรกก็คือ เราจะต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อนว่า ความจริงแล้วร่างกายและจิตใจทั้งของเราและของผู้อื่น รวมทั้งของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนี้ เป็นเพียง "สิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมาจากเหตุปัจจัยหลายๆอย่างเท่านั้น"

ดังนั้นเมื่อมันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งสร้างสรรค์ขึ้นมา มันจึงไม่มีอะไรที่จะมาเป็นตัวตนของมันเองได้เลย(อนัตตา) และเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่อย่างถาวรหรือคงอยู่ไปชั่วนิรันดรได้(อนิจจัง) และไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องแตกสลายหรือดับหายไปอย่างแน่นอน ซ้ำเมื่อยังตั้งอยู่ มันก็ยังต้องมีแต่ความยากลำบากในการดำรงชีวิต(ทุกขัง)อยู่อีกด้วย

ความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา นี้เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของพุทธศาสนา เพราะความรู้นี้เป็นความรู้ที่จะช่วยให้เรามองเห็นความจริงของธรรมชาติเรื่องที่ว่าทำไมจึงยึดถือสิ่งทั้งหลายโดยเฉพาะร่างกายและจิตใจของเรา(ตามที่สมมติเรียก)เองนี้ไม่ได้

ถ้าใครยังไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็เท่ากับยังไม่รู้จักพุทธศาสนาอย่างถูกต้องแท้จริง และไม่มีทางพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง และเมื่อมีความเข้าใจเรื่องนี้แล้ว การปฏิบัติศีลกับสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเรียนรู้หลักการนิดหน่อยก็สามารถไปปฏิบัติเองได้ทันทีโดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร หรือไม่ต้องมีพิธีรีตรองใดๆ

และถึงแม้เราจะเป็นชนชาติใด ภาษาใด หรือนับถือลัทธิศาสนาใดอยู่ก็ตาม ถ้ามีความเข้าใจหลักการดับทุกข์นี้แล้ว ก็สามารถนำหลักการนี้ไปปฏิบัติได้ด้วยตนเองทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก หรือการกระทำทางกายและวาจาใดๆ คือทุกอย่างภายนอกจะเหมือนเดิม จะเปลี่ยนแปลงก็เพียงจิตใจที่มีความเข้าใจต่อธรรมชาติอย่างถูกต้องขึ้นเท่านั้น

ญาติโยมทั้งรุ่นเดอะรุ่นใหญ่รุ่นเล็กทั้งหลายเอ๋ย...

พระพุทธเจ้าให้คำนิยามของ อกุศลกรรม และ กุศลกรรม ไว้ดังนี้

"กรรมใดทำแล้วเดือดร้อนภายหลัง กรรมนั้นไม่ดี เป็น อกุศลกรรม

เดือดร้อนนี้หมายถึงเดือดร้อนตนเอง เดือดร้อนคนอื่นในขณะที่ทำ ภายหลังก็ต้องเดือดร้อนอีก

ในทางกลับกัน กรรมใดทำแล้วตนเองไม่เดือดร้อน คนอื่นไม่เดือดร้อน
ต่อมาภายหลังก็ไม่เดือดร้อน กรรมนั้นพึงทำ คือ กุศลกรรม"

ญาติโยมทั้งรุ่นเดอะรุ่นใหญ่รุ่นเล็กทั้งหลายเอ๋ย... จงมี หิริ คือ ความละอายแก่ใจในการทำบาป และ โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวในผลของบาป

การไปปิดถนนหนทางที่มีอยู่แล้ว ไม่ให้ผู้คนเดินผ่านเข้าออกได้ เป็น อกุศลกรรม คือ กรรมไม่ดี ไม่ควรทำ

ตัวอย่างมีให้เห็นมาแล้วทั้งในสมัยที่พระพุทธองค์ยังมีชีวิตอยู่และในสมัยปัจจุบันนี้ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจังหวัดลำพูน มีนายทุนคนนึงนิสัยเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ไปปิดถนนสาธารณะห้ามไม่ให้ผู้คนใช้สัญจรเข้าออกผ่านไปมาได้

นายทุนคนนี้ก่อนจะตาย ต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่ๆก็หายใจไม่ออก ชักกระตุก ชักกระตุก ดิ้นทุรนทุรายอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่ตาย เป็นที่เวทนาแก่ผู้คนที่พบเห็น ต้องทรมานทรกรรมอย่างนี้เป็นปีๆ จึงตายพ้นเวรพ้นกรรมไปได้ในชาตินี้ แล้วต้องไปตกนรกอีกหลายกัปหลายกัลป เป็นผีเปรตอสุรกาย ในชาตินรกภูมิอีก

ญาติโยมทั้งรุ่นเดอะรุ่นใหญ่รุ่นเล็กทั้งหลายเอ๋ย... ขอให้ทุกคนอย่าได้ประมาท ในการดำเนินชีวิต

‎"อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน
อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข"

อนิจจา วต สังขารา-สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ...

อุปปาทวยธัมมิโน-มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา...

อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ-บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป...

เตสัง วูปสโม สุโข-การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข...

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ...มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา...บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป...การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข...

ญาติโยมทั้งรุ่นเดอะรุ่นใหญ่รุ่นเล็กทั้งหลายเอ๋ย...

อันว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายทั้งปวงที่เรามีอยู่นั้น เมื่อละสังขารไปแล้วเราก็เอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ ต้องละไว้ต้องทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังซึ่งยังมีลมหายใจกันอยู่ ให้ช่วยกันเก็บไว้ ช่วยกันถือไว้ ช่วยกันประคับประคองไว้...

ส่วนสังขารร่างกายของเราที่นอนแข็งโด่เด่ ก็เป็นภาระ...

คนที่ตายก็ตายกันไป...

คนที่อยู่ก็เอากันไป...เผาเสีย - เอากันไป...ฝังเสีย

เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้

อิอิ...

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

08 เรียน ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม 1.นางทับทิมฯ 2.นายธนวุฒิฯ 3.นายไตรรัตน์ฯ 4.นายธีระพงษ์ฯ 5.นางจินตนาฯ และ 6.นางนงนุชฯ


เรียน ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม 1.นางทับทิมฯ 2.นายธนวุฒิฯ 3.นายไตรรัตน์ฯ 4.นายธีระพงษ์ฯ 5.นางจินตนาฯ และ 6.นางนงนุชฯ

ผมได้ขายที่ดินของผม 15 ไร่ที่เชียงใหม่แล้ว

และในบั้นปลายของชีวิต ผมต้องการจะกลับมาอยู่ที่ลำพูน

โดยจะขอซื้อคืนที่ดินทั้ง 3 แปลงข้างต้น (ผมขอเสนอราคาซื้อคืนแปลงละ 1 ล้าน 5 แสนบาท) เพื่อปลูกบ้านอยู่อาศัย พร้อมกับเชื่อมโยงติดตั้งสาธารณูปโภค น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ และอื่นๆ

จากนั้นผมจะทำถนนคอนกรีตหน้ากว้าง 6 เมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 45 4/10 ตารางวา ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 80902 ทุกประการ โดยผมจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด

และถนนเส้นนี้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทั้ง 6 คน คือ 1.นางทับทิมฯ 2.นายธนวุฒิฯ 3.นายไตรรัตน์ฯ 4.นายธีระพงษ์ฯ 5.นางจินตนาฯ และ 6.นางนงนุชฯ มีสิทธิ์ใช้เป็นทางผ่านเข้าออกได้ตลอดเวลา

จึงเรียนมาเพื่อทราบ
นายธนวุฒิ ดุษฎีปัญจพร
15 มกราคม 2554

วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

07 นุชหวังว่าพี่รินทร์จะยอมรับฟังความคิดเห็นนุชบ้างนะคะ...


นงนุชน้องรัก

เรื่องทั้งหมดที่มันบานปลายมาจนถึงวันนี้ ถามตรงๆมันเริ่มต้นมาจากไหน มาจากใครที่เป็นต้นเหตุต้นตอของเรื่อง?????

หรือว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้...วันที่พี่ไปโอนที่ดินแล้วมีใครบางคนมากระแซะขอค่าเบียร์ 500 วันนั้นคนที่ซื้อที่ดินก็โอนเงินทั้งหมดเข้าบัญชีธนาคารของพี่ ตัวพี่เองไม่มีเงินสดติดตัวซักบาทอยู่ที่พี่สะใภ้กำลังทำธุระที่เชียงใหม่โน่น พี่เลยไม่ได้ให้ค่าเบียร์ไป อืม...พี่คิดว่าคงไม่ใช่เพราะเหตุนี้มั้ง

เอ้า...จะเรียงลำดับย้อนให้ฟังอีกครั้ง...

พี่และไตรรัตน์ขายที่ดินให้จำรัสและลุงนพ ทำหนังสือมอบอำนาจให้เขาจดทะเบียนภาระจำยอมฯเช่นเดียวกับธีระพงษ์ที่ขายที่ดินให้ธนาคาร มีป้าทิมคนเดียวนั่นแหละไม่ยอมเซ็นชื่อ

พี่และไตรรัตน์จึงเปลี่ยนเป็น ยกถนนให้เป็นชื่อของเขาไปเลย แต่มันติดขัดที่ป้าทิมไม่ยอมให้โฉนดไปโอน

เริ่มแรกโฉนดอยู่ที่จินตนา วันที่อัยการลำพูนเรียกไปพบ รณชัยขอยืมโฉนดไปถ่ายเอกสาร จินตนาก็ให้ไป

จากนั้น รณชัยก็เอาโฉนดไปเลยไม่ยอมคืนให้ ไปขอคืนก็อ้างสารพัดสารพัน ลงท้ายก็ทำเป็นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟว่าพี่ไปด่าแม่ของรณชัยกับป้าคำ ให้พี่ไปกราบขอโทษขอขมา

แม่ของรณชัยก็เป็นป้าของพี่เหมือนกัน ทำไมพี่จะไปกราบขอโทษขอขมาไม่ได้ล่ะ ก็ป้าทิมเลี้ยงพี่มาตั้งแต่เล็กๆ บุญคุณล้นเหลือ พี่ไปแล้วแต่ไม่พบลูกชายทรงวุฒิบอก ย่าไม่อยู่ไม่รู้ไปไหน แต่ที่แน่ๆคนที่ตลาดบอก รณชัยเป็นคนพาแม่ไปเอง

ตั้งแต่นั้นมาก็อ้างสารพัดสารพัน ขอคืนโฉนดจากแม่ก็บอกว่าอยู่ที่ลูก ขอคืนจากลูกก็บอกว่าอยู่ที่แม่ เป็นอย่างนี้มาตลอด 4-5 ปีเข้าไปแล้ว ก็โฉนดนั่นมันมีผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมตั้ง 6 คน และทุกๆคนก็มีสิทธิเท่าเทียมกัน...

ตั้งแต่แม่บลพ่อเนาว์ตายพี่ก็ได้ป้าคำนี่แหละเป็นที่พึ่ง เพราะพี่เคารพยกให้เป็นทั้งพ่อและแม่ มีสารทุกข์สุขดิบอะไรพี่จะเขียนจดหมายไปปรับทุกข์และเล่าให้ป้าคำฟังเป็นประจำ

ป้าคำท่านเป็นพี่ใหญ่ของตระกูลคงจะเป็นห่วงน้องเรียกไปตักเตือนหลานมันจะถอนหงอกเอา แล้วก็เอาจดหมายฉบับนี้ให้ดู

ในจดหมายที่พี่เขียนไปถึงป้าคำพี่ยอมรับว่าคำพูดมันหนักไปบ้าง พี่จะลอกข้อความบางประโยคมาให้อ่านกันอีกครั้งก็ได้

...ไม่รู้จะโลภไปทำไม ตายไปก็เอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ ผมว่าก็คงจะเป็นเปรตเฝ้าที่ดินอยู่แถวๆเหมืองง่า หรือแถวๆโรงพยาบาลลำพูนนั่นแหละ ไม่ได้ไปผุดไปเกิดหรอกครับ...

เรื่องถนนมันเป็นข้อตกลงที่สมบูรณ์แล้วระหว่างพ่อเนาว์กับป้าทิมมาตั้งแต่ก่อนพ่อเนาว์ตายน่ะ เรามันรุ่นลูกก็ควรเคารพและยึดถือตามนั้น

คิดง่ายๆ ก็เพราะมันมีถนนนี่แหละพี่และไตรรัตน์จึงขายที่ดินให้เขาไป ธนาคารซื้อจากธีระพงษ์ก็จดทะเบียนภาระจำยอมฯ ถ้าที่ดินไม่มีถนนเป็นที่ตาบอดใครเขาจะโง่เง่าเต่าตุ่นซื้อไปล่ะ

แล้วอยู่ๆก็เกิดเฮี้ยนขึ้นมา ที่ทางมีถนนเข้าออกได้อยู่ดีๆก็ทำให้มันเป็นที่ตาบอด ปิดถนนไม่ให้เขาใช้ดื้อๆยังงั้นแหละ

แล้วเรื่องมันก็ถึงโรงถึงศาล ก่อเรื่องคนเดียวแต่เดือดร้อนกันทั้งโคตร มันน่า...ไหมล่ะ

...เหมือนคุณ "?" ว่าไว้ ตระกูลนี้คนที่เป็นเสาหลัก จากโลกนี้ไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ปักขี้เลน ลูกหลานไม่มีหลักยึดก็เลยวุ่นวายกันใหญ่...

ก็เพราะต่างคนต่างก็ถือทิฐิ และไม่มีผู้ใหญ่ที่เป็นกลางเป็นที่เคารพนับถือเข้ามาไกล่เกลี่ยเข้ามาห้ามปราม เรื่องเล็กๆมันจึงลุกลามบานปลายไปใหญ่โต

ก็เหลือเพียงเรา 1.นิรุทธ์,รณชัยตัวแทนป้าทิม 2.พี่ 3.ไตรรัตน์ และ4.นงนุช สองฝ่ายห้าคนเท่านั้นที่จะต้องลดทิฐิลง หันหน้ามาปรึกษาหารือกัน

เพราะต่างคนต่างก็อยู่ห่างไกลกัน คนหนึ่งอยู่สวิสฯ คนหนึ่งอยู่อเมริกา คนหนึ่งอยู่ลำพูน อีกสองคนอยู่กรุงเทพฯ เมื่อเจอซึ่งหน้ากันไม่ได้ก็เจอกันในเน็ทนี่แหละ ถึงอย่างไรเราก็ทันสมัยพอในเรื่องเทคโนโลยี่นี้กันทุกๆคน

แค่นี้ทำไม่ได้รึ?????

...เห็นด้วยตามที่"อ้ายริน"เสนอมา

ได้รับประโยชน์ทั่วถึงกันทุกฝ่าย

นงนุชได้ที่คืนไม่ต้องมีใครผ่านและมีทางเข้า-ออก 3 ทาง

ป้าทิมเสียที่นิดหน่อยแต่ก็ได้ที่คืนทั้งหมดไม่ต้องตกอยู่ในบังคับภาระจำยอมอีกต่อไป

และเหนืออื่นใด ตระกูล"อินทวงษ์"ไม่ต้องโดนข้อครหานินทาใดๆ

"ไตรรัตน์"...

...เรื่องถนนตามที่พี่ส่งมาให้ดูนั้นนุชดูแล้วคิดว่าก็ดีนะคะ

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นพี่รินทร์และพี่น้อยน่าจะลองไปคุยกับพี่รณชัยดูว่า พี่เขาคิดเห็นเป็นอย่างไร

สำหรับนุชนุชช่วยพี่ได้ก็แค่เสริมเท่านั้นค่ะ เพราะที่ดินหลักหลักเป็นของพี่รณชัยและคู่กรณีก็พี่รินทร์กับพี่น้อย

สำหรับนุช นุชอยากให้พี่ลดทิฐิลงมาและคุยกับพี่รณดีดี นุชเชื่อว่าพี่รณเป็นคนที่มีเหตุและผลถ้าพี่คุยกับพี่รณดีดีนะคะ เพราะที่ผ่านมาใช้อารมณ์และไม่ยอมที่จะถามพี่รณเขา เรื่องก็เลยเป็นแบบนี้

นุชหวังว่าพี่รินทร์จะยอมรับฟังความคิดเห็นนุชบ้างนะคะ...

เอาล่ะ...พี่เชื่อนุช อายุเราก็มากๆด้วยกันแล้วนะ หันหน้ามาพูดกันดีๆเถอะ

โดยเฉพาะรณชัย มีเหตุมีผลผลอะไรก็ว่ามาพูดออกมาให้ชัดถ้อยชัดคำ

จะโกรธอะไรกันนักหนา เอาน่า..."ดิไซ้"รณชัย...พี่ๆน้องๆกันหยอกล้อเล่นนิดๆหน่อยๆ อย่าถือสาเลย ไม่มองไม่นับถือกันก็ไม่ว่า แต่ ณ ที่นี้ อ้ายขอโทษ...

ขอร้องล่ะ ให้เรื่องมันจบๆกันไปด้วยดีเถอะ

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2554

06 คำถามจาก คุณ "เสือก" และ คุณ "สันติ"

จินตนาวันแต่งงานลูกสาวกับลูกเขย


ตอบ คุณ "สันติ"

อันนี้ผมอยู่ไกลไม่ทราบรายละเอียดมากนัก

แต่ก็พอจะรู้ มีรถทะเบียน กท. ป้วนเปี้ยนแถวๆเหมืองง่าอยู่หลายวัน

เอ...ผมนึกออกแล้ว ตอนนั้นป้าทิมเคยเล่านิทาน"บ่าวอกหน้อย"ให้ผมฟังเรื่องนึง แล้วผมจะเล่าต่อ

นิทานเรื่องนี้เริ่มต้นตรงที่...มันคงจะนกรู้ปิดบ้านปิดช่องหลบหนีกันจ้าละหวั่น...

อะอะ เปลี่ยนใจแล้ว ไม่เล่าดีฝ่า

อิอิ...

ตอบ คุณ "เสือก"

ที่ดินไม่กี่ตรว.นั่นรึ อ๋อ...เรื่องมันยาว มันเกี่ยวพันคนหลายคนน่ะ เอาไว้โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด...

Once upon a time long long ago. กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...นิทานเรื่องนี้เริ่มต้น คุณพ่อหูเบารับเป็นเจ้าอยู่กรุงเทพฯ หุ้นส่วนเขียนโพยอยู่ลำพูน...มีคนถูกรางวัลใหญ่ทุกๆงวด

สุดท้ายก็ต้องขายที่ตรงนี้ใช้หนี้...

ตอนโอนกันมีการเล่นกลสลับสับเปลี่ยนตัวด้วยล่ะ

นิทานเรื่องนี้ผมรู้ตอนหลังแต่พ่อผมไม่รู้เรื่องน่ะเนี่ย...

ตอบ คุณ "เสือก"

ผมและน้องๆปิดไว้หลายเรื่องครับ

มีเด็ดกว่านี้อีกน่ะ ใครได้ยินได้ฟังอาจถึงช็อก

ถ้าพ่อผมรู้...ก็คงน่าดูน่าชมไม่จืดแน่ๆ

ผมเองถึงกับมึนตึ้บ คาดไม่ถึงในความระยำ...

ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ...

อั้ยเลวสองตัวนั่นมันมุดมุ้งจะเอาหลานทำเมีย!

คุณ "เสือก" ครับ

ผมเป็นพี่คนโต ผมรักน้องๆของผมทุกๆคน

ต่อหน้าผมอาจทำเฉยๆ

แต่ผมก็ติดตามคอยถามไถ่ทุกข์สุขน้องๆทุกๆคน ทั้งถามตรงตัวและถามผ่านคนอื่นๆเสมอๆ

น้องๆของผมทุกๆคนจึงอยู่ในสายตาอยู่ในดวงใจของผมตลอดเวลา

ทั้ง จินตนา ที่เสียชีวิตไปแล้ว-ไตรรัตน์ ที่เป็นอัมพฤกษ์ ผมก็เตือนอยู่เสมอๆชอบกินของมันๆข้าวขาหมูงี้เป็นประจำ

ปรัชญา น้องคนนี้เป็นทหารเสียชีวิตเพราะตกรถสมองบวม เคยบวชที่วัดทุ่งสาธิตหลายพรรษา

มารศรี ตายตั้งแต่ยังเป็นเด็กที่บ้านหวด อ.งาว ตอนนั้นป่วยเป็นไข้นอนซมทั้ง มารศรี-ธีระพงษ์ ตามความเชื่อคนโบราณบ้านเดียวกันถ้าป่วยพร้อมกันคนนึงจะต้องตายคนนึงจะต้องอยู่ แล้วฟ้าดินก็เอามารศรีไป น้องคนนี้หน้าตาสวยน่ารักและคุณพ่อก็รักมากๆด้วย

ธีระพงษ์ น้องคนนี้เมื่อปี 2543 เปลี่ยนทั้งชื่อ-นามสกุล "ชัยวัฒน์ ชาญบดีปรีดา" เสียชีวิตเมื่อ 18 พ.ย.2550

ส่วน นงนุช น้องนุชคนสุดท้องนี่ ทั้งน่ารักและก็น่าชังอยู่ในตัวตน จะว่าเป็นคนโชคดีก็ไม่ใช่โชคร้ายก็ไม่เชิงที่ได้สามีเป็นฝรั่งมังค่า...

แต่น้องเอ๋ย...ถ้ารู้จักลดละปล่อยวาง รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา และมีความคิดเป็นผู้ใหญ่อีกนิดเดียว ก็จะเสริมส่งทั้งตนเองและคุณพ่อคุณแม่ของเราให้เป็นที่รักนับถือของชาวลำพูนไปอีกนานแสนนาน

นงนุช ต่อสู้กับชีวิตตั้งแต่เด็กๆพร้อมๆกับ ธีระพงษ์ ทั้งสองคนนี่เติบโตมาด้วยกัน นงนุชนิสัยออกจะดุๆห้าวๆไปทางนักเลงนิดๆ ตอนเด็กๆถูกใช้ทำงานสารพัดอย่าง ทั้งหิ้วกระเป๋าปิ่นโตซักผ้าขัดถูเช็ดรองเท้าให้ ยอมแม้กระทั่งเสียสละในสุขส่วนตัว

แต่พอโตขึ้นทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับตะละปัดกันไปหมด

นี่คือความภูมิใจ"นงนุช"น้องรักคนนี้ลึกๆอยู่ในใจของผมล่ะครับ

วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

05 คำถามและข้อข้องใจจาก "ครูแสน"



สวัสดีครับ "ครูแสน"

ก็บอกตั้งแต่ต้นแล้วไง ตระกูล"อินทวงษ์"เป็นตระกูลใหญ่ในภาคเหนือ

ลูกหลานว่านเครือประกอบอาชีวะทุกสาขาอาชีพล่ะครับ

มีทั้งทหารตำรวจพยาบาลพ่อค้าประชาชนธรรมดาไปรษณีย์ครูทนายความ...โอ้ย! เยอะแยะไปหมดนับไม่ถ้วน...

แต่นั่นแหละครับมันเหมือนเส้นผมบังภูเขา ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่นตระกูลอื่นก็รู้แจ้งเห็นจริงในบาปบุญคุณโทษว่าอย่างไหนถูกอย่างไหนผิด...รู้หมด

แต่ถ้าเป็นเรื่องของคนในตระกูลเดียวกัน ก็แบ๊ะ...แบ๊ะ...กันล่ะครับ


ก็ขอบอกไว้ตรงนี้... ถ้าใครคิดจะหาความถูกต้องเป็นธรรมจากคนบางคนในตระกูลนี้ต้องคิดให้มากๆหน่อย

ถ้าเจอตำรวจทนายทะแนะบางคน...ย้ำบางคนนะครับ ที่มี"อิน+ทะ+วง"ต่อท้าย...ต้องคิดให้หนักๆ เอาสิบเอาร้อยเอาพันหารเข้าไปหลายๆชั้นด้วย...


คุณพ่อผมกับวอลโว่คันโปรด และบ้านปลูกใหม่ฝีมือรณชัยเขาล่ะ...

สวัสดี "ครูแสน" อีกครั้ง

ถามอย่างนี้จะทดสอบผมว่ารู้จักคนในตระกูลตัวเองมากน้อยแค่ไหน?

ได้ครับ เรื่องจิ๊บๆ...

รณชัยเป็นลูกชายคนรองของป้าทิมครับ "ปัญญา"คือนามสกุลของคุณพ่อเค้า...

...ก็อย่างที่บอกไว้..."อินทวงษ์"สายคุณปู่ถิน และคุณย่าจันทร์ฟอง มีลูกๆคลานตามกันมา 5 คน คือ 1.คุณป้าฟองคำ, 2.คุณป้าทับทิม, 3.คุณพ่อเนาวรัตน์, 4.คุณอา ร.ต.อ.วิโรจน์ และ 5.คุณอา ร.ต.อ.บุญเลิศ

1.คุณป้าฟองคำ สมรสกับ คุณลุงวีระ อุณวาทพานิช พ่อค้าคหบดีของจ.ลำพูนคนหนึ่ง ท่านเปิดร้านศรีจำปา จำหน่ายเครื่องเขียนแบบเรียนและผ้าไตรจีวร ร้านอยู่หลังวัดพระธาตุหริภุญชัยฯ

ครอบครัวของท่านมีความเสียสละและใจบุญสุนทานบริจาคเงินทองบำรุงก่อสร้างถาวรวัตถุไว้มากมาย

คุณป้าฟองคำมีลูกสาว 2 คน คนโตเปิดร้านอาหารไทยที่อเมริกา ส่วนคนเล็กปัจจุบันอยู่ใกล้ๆศิริราชบางกอกน้อย กรุงเทพฯ

2.คุณป้าทับทิม สมรสกับ คุณลุงนพ ปัญญา นายแพทย์ใหญ่ประจำศูนย์อนามัยเทศบาลเมืองลำพูน คุณลุงหมอนพเป็นคนมีน้ำใจโอบอ้อมอารีเป็นที่รักและนับถือของคนลำพูนในสมัยนั้น ท่านเปิดร้านขายยาชื่อ นพโอสถ ร้านอยู่หลังตลาดสดในเวียงลำพูน

คุณป้าทับทิมมีลูกชาย 3 คน คนโตรูปหล่อร่างสมาร์ท หน้าตาและนิสัยใจคอถอดแบบมาจากคุณลุงหมอนพทุกกระเบียดนิ้ว ไปตั้งหลักปักฐานอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆจนป่านนี้ก็ 60 เข้าไปแล้ว นิรุทธ์เกิดปี 2493 อายุน้อยกว่าผม 3 ปี เราเติบโตมาด้วยกัน นานเกือบ 30 กว่าปีที่ผมไม่เจอเค้า

เซียนพระคงจำได้
ลูกชายคนรองอดีตอยู่กรมสร้างถนนหนทาง คนนี้เก่งเขียนแบบแปลน คุณพ่อผมเคยเรียกใช้บริการให้ควบคุมดูแลออกแบบบ้านและเขียนแบบแปลนให้ ฝีมือก็ระดับโปรฯ เมื่อปลูกสร้างเสร็จบ้านหลังนี้ดูสวยงามและแข็งแรง คุณพ่อผมรักและหวงบ้านหลังนี้มากเพราะเป็นบ้านหลังที่สามที่มาจากเงินน้ำพักน้ำแรงในการทำงานของท่าน

แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปีบ้านหลังนี้ก็ถูกปลวกกินทั้งหลัง น้องสาวผม"นงนุช"จึงรื้อทิ้งแล้วปลูกตึกที่มั่นคงแข็งแรงขึ้นแทน ไม่ทราบว่า"นงนุช"จะเรียกใช้บริการเหมือนคุณพ่อผมหรือไม่?

ลูกชายคนเล็กรับช่วงกิจการจากร้านขายยา ทับทิมโอสถ(ชื่อเดิม นพโอสถ) เปลี่ยนมาเป็นร้านขายเครื่องมือการเกษตร ตอนนี้ลูกหลานดูแลกิจการเพราะคุณพ่อเสียไปแล้ว

ส่วนคุณป้าทับทิมยังมีชีวิตอยู่ เมื่อความชราความสูงวัยมาเยือนความทรงจำก็ลบเลือนตามไปด้วย รณชัยลูกชายคนรองจึงเป็นตัวแทน เพราะนิรุทธ์ลูกชายคนโตอยู่ที่อเมริกาโน่น

3.คุณพ่อเนาวรัตน์ซึ่งเป็นคุณพ่อของผม หลังจากลาออกจากเจ้าพนักงานป่าไม้ที่ลำพูน ก็ไปทำงานที่กรุงเทพฯเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อบริษัทใหญ่ชื่อ"สหกล"มีภาษาอังกฤษต่อท้าย 2-3 ตัว

ช่วงนี้แหละที่คุณพ่อเริ่มก่อร่างสร้างตัวจนมีเงินมีทองเหลือเก็บมากหลาย ท่านส่งผมเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จุดประสงค์ของท่านให้ผมเรียนที่"คณะวนสาร"แถวๆบางเขน แต่ผมเอ็นฯติด"คณะวารสารศาสตร์"แถวๆท่าพระจันทร์

จากคณะวนสารเกี่ยวกับป่าไม้มาเป็นคณะวารสารศาสตร์เกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ คุณพ่อของผมโกรธมากตัดการช่วยเหลือส่งเสียเรื่องเงินทอง ตอนนั้นผมต้องดิ้นรนเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเพื่อเลี้ยงและส่งเสียตัวเองจนเรียนจบได้รับปริญญา...

ตอนนี้แหละที่คุณพ่อเข้ามาปลอบใจผม คุณพ่อให้ของขวัญที่ดินที่เชียงใหม่ 15 ไร่ติดถนนใหญ่ ซึ่งตอนนั้นไม่เจริญเหมือนตอนนี้

คุณพ่อซื้อไว้ตั้งแต่ปี 2513 หรือ 2514 ก็ไม่แน่ใจ ไร่ไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ

ช่วงนี้คุณพ่อมีเงินมากหลายความเป็นอยู่ระดับผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง ท่านมีรถเก๋งคันโปรดยี่ห้อวอลโว่ ไปไหนมาไหนท่านชอบขับรถคันนี้ ตอนนั้นท่านมีลูกเขยเป็นฝรั่งก็สามีของ"นงนุช"นั่นแหละ ใครๆก็นินทาว่ารถเก๋งคันนี้ลูกเขยฝรั่งซื้อให้ แต่คุณพ่อไม่สนใจปล่อยให้คนเขาเข้าใจไปผิดๆยังงั้นแหละ

ในวัยชราคุณพ่อผมท่านไม่ชอบกินข้าว วันๆคืนๆเอาแต่กินกาแฟและสูบบุหรี่จัด เวลาท่านปวดท้องทรมานอย่าบอกใคร คุณพ่อไปได้ด้ายสายสิญจน์มาจากอาจารย์ชื่อดังทางไสยศาสตร์ท่านหนึ่งเอามากราบไหว้บูชา

ก่อนนอนคุณพ่อเอาด้ายสายสิญจน์ที่ได้รับมาห้อยคอไว้ ตื่นเช้าทุกๆคนจึงรู้ว่าคุณพ่อหมดลมหายใจไปแล้วเพราะด้ายสายสิญจน์รัดคอ

คุณพ่อเนาวรัตน์สมรสกับ คุณแม่อุบลวรรณ พงษ์สวัสดิ์  มีลูกชายหญิงทั้งหมด 7 คน มีผมเป็นคนโต น้องสาว"จินตนา"เสียชีวิตแล้ว คนถัด"ไตรรัตน์"ยังมีชีวิตแต่พิการเป็นอัมพฤกษ์ ปรัชญาและมารศรี เสียชีวิตตั้งแต่เด็กๆ "ธีระพงษ์"ก็เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน

สำหรับน้องนุชสุดท้องชื่อรจนา...เอ๊ย ชื่อ"นงนุช" เป็นคนดูแลบ้านช่องที่ลำพูน เทียวไปเทียวมาระหว่างเมืองไทยกับสวิสเซอร์แลนด์

สรุปแล้ว ตอนนี้ลูกๆของ"พ่อเนาว์"ก็เหลือแค่ 3 คน คือ"นงนุช" "ผม"และ"ไตรรัตน์"ก็ตั้งหลักปักฐานอยู่ที่กรุงเทพฯโน่น...


4.คุณอา ร.ต.อ.วิโรจน์ ท่านรับราชการเป็นตำรวจจนเกษียณ เสียชีวิตไปแล้ว ภรรยาของท่านเป็นนายช่างตัดเย็บเสื้อผ้า มีลูกชาย 2 คน หนึ่งคนมีอาชีวะทนายความชื่อดังของลำพูน และอีกคนทำงานบริษัทใหญ่โตที่เชียงใหม่

และ 5.คุณอา ร.ต.อ.บุญเลิศ ท่านรับราชการเป็นตำรวจจนเกษียณเช่นกัน เสียชีวิตไปแล้ว ภรรยาของท่านเป็นนางพยาบาลผดุงครรภ์ มีลูกชายและลูกสาว? รวม 2 คน...หนึ่งคนทำงานไปรษณีย์ฯ อีกคนทำงานที่สวนเห็ดนงนุช...

เอาแค่นี้นะครับ

ขืนพล่ามมากไปกว่านี้มันจะกลายเป็นสาวไส้ให้กากิน


ความตั้งใจของคุณพ่อ แต่ผมปฏิเสธ...